วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สารให้ความหวาน

      หลายคนคิดว่าอยากจะลดน้ำตาล เพื่อลดอ้วน ทางเลือกนึงก็คือ หันไปใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล แต่รู้มั๊ยว่า สารให้ความหวาน มีกี่ชนิด วันนี้เราจะมารู้จักกันว่ามันมีกี่ชนิดบ้าง


           1. แอสปาเทม

                 ให้ความหวานประมาณ 200-300 เท่าของน้ำตาลทรายในปริมาณเดียวกัน และมีรสชาติใกล้เคียงน้ำตาลทรายมากที่สุด จึงเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้


           2. ไซลิทอล

                 เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล พบได้ในพืช ผัก ผลไม้หลายชนิด อาทิ สตรอเบอร์รี่ ต้นเบิร์ช


           3. ซัยคาเมต

                 มีความหวานประมาณ 30 เท่าของน้ำตาลซูโครส ซึ่งปัจจุบันได้ห้ามใช้แล้ว ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2522) เนื่องจากพบว่าสามารถทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง


           4. ซัคคาริน

                เป็นสารเคมีที่ใช้กันแพร่หลายมีความหวานเป็น 300 - 400 เท่าของน้ำตาลซูโครส  ถ้าหากรับประทานซัคคารินในขนาด 5 - 25 กรัมต่อวันเป็นเวลาหลาย ๆ วัน หรือรับประทานครั้งเดียว 100 กรัม จะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้อง ซึมและชักได้


           5. สตีวิโอไซด์

                 มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ดูดความชื่นได้ดี มีความหวานประมาณ 280 - 300 เท่าของน้ำตาลทราย ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการให้พลังงานต่ำ ประมาณร้อยละ 0 - 3 แคลอรี จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสารให้ความหวานกับอาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคหัวใจ




วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การบาดเจ็บที่ดวงตา

      วันนี้คิดจะช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว แต่ได้เรื่องน้ำมันทอดกระเด็น เข้ามาที่ใบหน้า แต่ด้วยมีสติ จึงรีบเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักบัวรดหน้าเพื่อช่วยลดความร้อน กับทั้งน้ำมันยังไม่ร้อนจัด จึงไม่เป็นอะไร ก็เลยหยิบยกเรื่องการปฐมพยาบาลมาดูกันสักนิด

      ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ เฉียดโดนลูกตาไปนิดนึง จึงคิดว่า หากโดนตาจังๆคงแย่ ดังนั้นเลยหาข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บดวงตา (ขอใส่เป็น link นะครับ)

      http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=15659
     

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สารดูดความชื้น

      สารดูดความชื้น หรือบางคนเรียกสารกันความชื้น หลายคนไม่รู้ว่ามันมีหลายชนิด ผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่ามันมีด้วยกันดังนี้


           1. ซิลิก้า เจล (Silica Gel) เป็นสารสังเคราะห์ของทรายขาวผสมกรดกัมมะถัน ลักษณะเป็นเม็ดเจลกลม มีโพรงและรูพรุน แบ่งได้ 4 ชนิด

                - ชนิดสีขาว เป็นเม็ดสีขาวขนาดประมาณ 2 - 5 มิลลิเมตร สามารถดูดความชื้นได้ประมาณ 35% - 40%

                - ชนิดสีน้ำเงิน เป็นเม็ดสีน้ำเงิน ส่วนความสามารถก็เหมือนกับชนิดสีขาว แต่พิเศษกว่าตรงที่มีการเติมสารชนิดหนึ่งเข้าไปเพื่อใช้ตรวจวัดระดับความชื้นที่ดูดกักเก็บไว้แล้ว คือ ปกติจะเป็นสีน้ำเงิน เมื่อมีระดับความชื้นเพิ่มขึ้น สีจะเปลี่ยนไปเป็นสีชมพูหรือม่วงอ่อน นั่นคือสารดูดความชื้นหมดอายุการใช้งานแล้วต้องเปลี่ยนใหม่

                - ชนิดสีส้ม เหมือนกับชนิดสีน้ำเงินทุกประการ ที่ต่างกันก็มีอยู่ว่า มันใช้สารจากธรรมชาติให้สีปกติเป็นสีส้ม และเมื่อใช้งานก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม

                - ชนิดเม็ดทราย เหมือนชนิดสีขาว แต่มีขนาดเล็กกว่า นั่นคือ 1 มิลลิเมตร


           2. สารดูดความชื้นจากธรรมชาติ ผลิตจากดินไดอะตอมเมเชียล เอิร์ท ลักษณะเป็นเม็ดกรวดสีน้ำตาล หรือสีเทา ไม่ก่อให้เกิดมลพิษกับสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการดูดความชื้นที่ 35% - 40%


           3. สารดูดความชื้นชนิดอื่นๆ มีความสามารุถในการดูดความชื้นต่ำกว่า 30%  อาทิเช่น แคลเซี่ยมออกไซด์ , โมเลกุลล่า ซีฟ , แคลเซี่ยม ซัลเฟต เป็นต้น



วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชนิดของสารกันบูด

      สารกันบูด คืออะไรก็ได้พูดไปแล้ว คราวนี้มาดูกันว่า สารกันบูดมีกี่ชนิด


           1. กรดและเกลือของกรดบางชนิด เช่น กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดโปรปิโอนิก ฯลฯ สารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะให้ผลยับยั้งราและ ยีสต์มากกว่าแบคทีเรีย ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือมีความเป็นพิษต่ำ เพราะ ร่างกายคนสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสารอื่นที่ไม่มีพิษและขับถ่ายออกจาก ร่างกายได้

           2. พาราเบนส์ (parabens) เป็นสารกันบูดที่มีประสิทธิภาพยับยั้ง หรือทำลายราและยีสต์ได้ดีกว่าแบคทีเรีย ร่างกายคนจะมีกระบวนการขจัดพิษของพาราเบนส์ ได้โดยปฏิกิริยาไฮโดรลีซิส (hydrolysis)

           3. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และซัลไฟต์ สารกันบูดชนิดนี้จะคล้ายคลึงกับสารกันบูดกลุ่มแรกและจะมีประสิทธิภาพสูง สารชนิดนี้สามารถขับออกจากร่างกายได้ก็จริง แต่หากร่างกายได้รับสารนี้ มากเกินไป สารดังกล่าวจะไปลดการใช้โปรตีนและไขมันในร่างกายได้

           4. สารปฏิชีวนะ ข้อดีของสารปฏิชีวนะคือ ความเป็นกรดด่างของ อาหาร ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของสาร ซึ่งอาหารที่นิยมใส่สารปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะพบว่าใช้กับผักและผลไม้สดด้วย ข้อเสียของสารกันบูดชนิดนี้คือมักจะก่อให้เกิดสายพันธุ์ต้านทานขึ้น


     อย่างไรก็ตามการใช้วัตถุกันเสียในการถนอมอาหารตามสัดส่วนที่ อย.ระบุว่าปลอดภัยแม้ว่าจะไม่มีอันตราย แต่การหลีกเลี่ยงบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสียก็เป็นการดีกว่า เมื่อรู้แล้วลองดูที่ฉลากก่อนดื่ม ก่อนใช้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้นนะครับ




วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สารกันบูด

      สารกันบูด (preservatives) คือสารเคมีหรือของผสม ของสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร โดยอาจจะใส่ลงในอาหาร พ่น- ฉาบรอบๆผิวของอาหารหรือภาชนะ บรรจุสารดังกล่าวจะทำหน้าที่ยับยั้ง หรือทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหาร เน่าเสีย  ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิด สายพันธุ์ต้านทาน (resistant strain)



      สารกันบูด เป็นสารเคมีที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ช่วยในการถนอมอาหารได้ เพราะช่วยชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุการเน่าเสียของอาหาร ตัวที่นิยมกันมากคือ พวกกรดอ่อนต่างๆ เช่น กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอท เพราะมีราคาถูกและไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยน มักเติมลงในเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำผลไม้ ซอส ผักดอง แยม เยลลี่ ผลไม้แช่อิ่ม และเครื่อแกงสำเร็จรูป สำหรับกรดโปรปิโอนิก และเกลือโปรปิโอเนตเหมาะสำหรับใช้ป้องกันการเจริญของเชื้อรา



วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

REST API

      REST (Representational State Transfer) ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2000 มารู้จักก็ตอนปี 2008 ไปแล้ว

      REST เป็นการทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบของ resource โดยอาศัย HTTP Method (GET, POST, PUT, DELETE) ในการทำงาน  และส่งผลกลับมาในรูปแบบของ JSON หรือ XML

      ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลไปมาระหว่าง Web Service และ Client โดยมันจะหน้าตาแบบข้างล่างนี่เลย

initial line
header1: value 1
header2: value 2
...
headerN: value N
blankLine
message body

      สำหรับ Method ที่ใช้ ก็มีดวยกัน 4 Method ดังนี้

           1. GET – อันนี้เอาไว้ เรียกข้อมูล
           2. POST – เอาไว้ส่งข้อมูล
           3.PUT – เอาไว้ส่งข้อมูลเหมือนกัน แต่จะส่งค่าไปได้ด้วย
           4.DELETE –  เอาลบข้อมูลนั่นเอง


ข้อดี

     - ทำการอยู่บน HTTP และทำตามมาตรฐานของ HTTP จึงทำให้พัฒนาได้ง่าย
     - สนับสนุนรูปแบบข้อมูลมากมาย เช่น XML, JSON, Plain Text และอื่น ๆ อีกมากมาย
     - รองรับการขยายระบบได้ง่าย
     - มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดี
     - รองรับเรื่อง caching ข้อมูล


ข้อเสีย

     - ทำงานได้เฉพาะ HTTP protocol เท่านั้น
     - ไม่มีเรื่องของ security และ reliability มาให้ในตัว ดังนั้นต้องทำเอง
     - รูปแบบข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่าง client-server ไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย


วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

PWA

      พอดีได้ดู Video ดีๆที่ลูกพี่ได้แชร์มา ก็เลยเข้าไปดูซะหน่อย แล้วก็เลยเอามาแชร์ต่อครับ ส่วนรายละเอียดอาจจะน้อยไปหน่อย เพราะยังไม่ได้อ่านเพิ่มเติมอะไร เอาไปแบบข้าวๆไม่มีกับไปก่อนนะ


      PWA (Progressive Web App) เป็นแนวทางการพัฒนาเว็บแอพยุคใหม่ ซึ่งมันไม่มีกรอบตายตัวว่าจะต้องใช้อะไร อย่างไร เพียงแต่มีจุดที่จะบอกว่ามันเป็น PWA ก็ตามนี้ครับ

           1. App Like มีหน้าตาคล้าย App แต่ทำงานบนเว็บ

           2. Add to Home Screen คือ Feature ที่เรา Bookmark ไว้บนหน้าจอโทรศัพท์ได้

           3. Off Line คือ Service Worker ที่เพิ่มเข้ามาให้ App สามารถทำงานได้แม้ตัด Internet แล้วก็ตาม ซึ่งบางส่วนอาจจะใช้งานไม่ได้ เพราะต้องต่อ API แต่การทำงานบางฟังก์ชั่นก็ยังทำงานได้อยู่

           4. Web Notification ใช้สำหรับส่งข้อความหรือสถานะต่างให้ผู้ใช้งานได้รับรู้ แม้ไม่ได้เปิด App ขึ้นมาแสดงบนหน้าจอ (ซึ่งอันนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้)

ดูคลิปได้ที่ https://www.facebook.com/web.developer.th/videos/1862240054102843/

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บุหรี่


      บุหรี่ หลายคนก็สูบ แม้แต่พ่อผมก็สูบมัน หลายคนก็รู้ว่ามีสารอันตรายในบุหรี่ แล้วรู้หรือไม่ว่ามีสารอะไรบ้าง เราลองมาดูกัน


      ในบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นพิษ เมื่อสูดดมเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เซลล์ในร่างกายเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งและส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกมากมาย

      1. นิโคติน เป็นสารคล้ายน้ำมัน ไม่มีสี ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด ทำลายเนื้อปอดและถุงลมปอด กระตุ้นระบบประสาท

      2. ทาร์ เป็นสารคล้ายน้ำมันดิน ทำให้เกิดมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง ไอเรื้อรัง หอบเหนื่อย

      3. คาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้หัวใจและร่างกายส่วนอื่นๆ ได้รับออกซิเจนน้อยหรือขาดออกซิเจน ทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มึนงง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ

      4.ไฮโดรเจนไซยาไนด์ จะทำลายเยื่อบุหลอดลม ทำให้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ระคายเคือง ไอเรื้อรัง มีเสมหะ

      5. ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นก๊าซพิษที่ทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลายและลุงลมทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งโพง

      6. แอมโมเนีย ทำให้หลอดลมอักเสบระคายเคือง ไอ มีเสมหะมาก

      7. สารกัมมันตรังสี ทำให้เกิดมะเร็งปอดและมะเร็งระบบทางเดินหายใจ

      8. แร่ธาตุต่างๆ เป็นสารตกค้างในใบยาสูบจากการพ่นยาฆ่าแมลงเป็นพิษต่อร่างกายก่อเกิดมะเร็งได้




โรคพิษสุนัขบ้า

      โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ (อังกฤษ: rabies, hydrophobia) เป็นโรคไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันของสมองในมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นชนิดอื่น  เกิดจากลิสซาไวรัส (lyssavirus)


      ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเดินทางไปสมองโดยตามประสาทส่วนปลาย โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้หลังเริ่มแสดงอาการแล้วเท่านั้น


อาการ
      ช่วงระหว่างการติดเชื้อจะมีอาการคล้ายหวัด ช่วง 2 ถึง 12 สัปดาห์ในมนุษย์ เป็นระยะฟักตัว และอาจนานกว่าหกปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของแผลที่มีการปนเปื้อนและปริมาณไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นอาการอาจเพิ่มเป็นอัมพาตเล็กน้อยหรือบางส่วน วิตกกังวล นอนไม่หลับ สับสน กระสับกระส่าย มีพฤติกรรมผิดปกติ โรคจิตหวาดระแวงและประสาทหลอน อาการเพ้อ

การป้องกัน
       กระทรวงสาธารณสุขได้วางแนวทางการป้องกันโรคไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้

       1.ก่อนถูกกัด ใช้หลักการคาถา 5 ย. ป้องกันการถูกกัด ได้แก่ “อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง” คือ อย่าแหย่ให้สุนัขโมโห อย่าเหยียบสุนัข หรือทำให้สุนัขตกใจ อย่าแยกสุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามอาหารขณะสุนัขกำลังกิน และอย่ายุ่งกับสุนัขนอกบ้านหรือที่ไม่ทราบประวัติ

       2.กรณีถูกกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน และรีบไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอย่างเหมาะสม รวมถึงกักขังสัตว์ที่กัดสังเกตอาการอย่างน้อย 10 วัน หากสัตว์ตัวนั้นมีอาการปกติแสดงว่าไม่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า แต่หากสุนัข หรือแมวเสียชีวิต ให้รีบแจ้งกรมปศุสัตว์ หรือสถานเสาวภา เพื่อส่งตรวจหาเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าทางห้องปฏิบัติการ

      3.หลังจากถูกกัด ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่องครบชุดตามเวลาที่แพทย์นัด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422